วันคริสมาสต์
คริสต์มาส (
อังกฤษ:
Christmas;
อังกฤษโบราณ:
Crīstesmæsse, หมายถึง "
มิสซาของพระคริสต์") หรือ
วันสมโภชพระคริสตสมภพ (
อังกฤษ:
Feast of the Nativity) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลอง
การประสูติของพระเยซู[1][2] มักจัดวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรมโดยประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลก วันดังกล่าวเน้น
ปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชนเป็นสำคัญ วันคริสต์มาสเป็นวันปิด
เทศกาลเตรียมการรับเสด็จ (Advent) และวันเริ่มต้น
เทศกาลพระคริสตสมภพ (Christmastide) สิบสองวัน
[3] คริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และผู้ที่มิได้นับถือคริสต์เฉลิมฉลองมากขึ้น
[4][5][6] และเป็นส่วนสำคัญในคริสต์มาสและฤดูวันหยุด
วันที่พระเยซูประสูติจริง ๆ นั้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์คะเนไว้ระหว่าง 2 ปีก่อน ค.ศ. และ ค.ศ. 7 ไม่เป็นที่ทราบ
[7] ในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4
ศาสนาคริสต์ตะวันตกกำหนดวันคริสต์มาสครั้งแรกไว้ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งวันที่ดังกล่าว
ศาสนาคริสต์ทางตะวันออกได้รับไปภายหลัง
[8][9] มีการพัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายว่าทางเลือกนั้น รวมถึงเป็นวันเก้าเดือนพอดีหลังการเฉลิมฉลอง
นางมารีย์รับการประสูติของพระเยซูของคริสต์ศาสนิกชน
[10] หรือถูกเลือกให้ตรงกับวัน
เหมายันของโรมัน
[11] หรือเทศกาลฤดูหนาว
เพเกินโบราณเพื่อยุติการเฉลิมฉลองเหล่านี้และแทนที่ด้วยการฉลองของคริสเตียน
[10][12]
วันการเฉลิมฉลองในศาสนาคริสต์ตะวันออกแต่เดิม คือ วันที่ 6 มกราคม โดยเชื่อมโยงกับ
วันฉลองการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (Epiphany) และในปัจจุบัน วันดังกล่าวยังคงเป็นวันเฉลิมฉลองสำหรับศาสนจักรอะโพสโตลิคอาร์เมเนียและใน
อาร์เมเนีย ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จนถึง ค.ศ. 2011 ระหว่าง
ปฏิทินเกรโกเรียนสมัยใหม่และ
ปฏิทินจูเลียนที่เก่ากว่า มีวันที่ต่างกันอยู่ 13 วัน ผู้ที่ยังใช้ปฏิทินจูเลียนหรือเทียบเท่าต่อไปจึงเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคมและ 6 มกราคมโดยประชากรโลกส่วนใหญ่ ในวันที่ 7 มกราคมและ 19 มกราคม ด้วยเหตุนี้
เอธิโอเปีย รัสเซีย ยูเครน มาเซโดเนียและ
มอลโดวาจึงเฉลิมฉลองคริสต์มาส ทั้งที่เป็นวันสมโภชของคริสต์ศาสนิกชนและที่เป็นวันหยุดราชการ ตามในปฏิทินเกรโกเรียนคือ วันที่ 7 มกราคม
ประเพณีการเฉลิมฉลองอันเป็นที่นิยมที่เหมือนกันในหลายประเทศมีการผสมผสานแนวคิดและกำเนิดก่อนคริสเตียน คริสเตียนและฆราวาส
[13] ประเพณีสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมในวันดังกล่าวมีการให้ของขวัญ
เพลงคริสต์มาสและเพลงเทศกาล การแลกเปลี่ยนการ์ดคริสต์มาส การตกแต่งโบสถ์ มื้อพิเศษ และการจัดแสดงการประดับตกแต่งหลายอย่าง รวมทั้ง
ต้นคริสต์มาส แสงไฟ ฉากการประสูติของพระเยซู มาลัย พวงหรีด
มิสเซิลโทและ
ฮอลลี นอกเหนือจากนั้น บุคคลที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดและแทนกันได้บ่อยครั้งหลายคน เช่น
ซานตาคลอส ฟาเธอร์คริสต์มาส นักบุญนิโคลัส และคริสต์คินด์ เกี่ยวข้องกับการให้ของขวัญแก่เด็กในเทศกาลคริสต์มาส และต่างมีประเพณีและตำนานเป็นของตนเอง
[14] เพราะการให้ของขวัญและอีกหลายส่วนของเทศกาลคริสต์มาสเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในบรรดาคริสต์ศาสนิกชนและผู้ที่มิใช่ วันคริสต์มาสจึงเป็นเหตุสำคัญและช่วงลดราคาหลักสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของคริสต์มาสเป็นปัจจัยซึ่งเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาในหลายภูมิภาคทั่วโลก
[แก้] ชื่อ
[แก้] ศัพทมูล
คำว่า '"Christmas" ในภาษาอังกฤษ เกิดขึ้นเป็นคำประสมหมายถึง "
มิสซาของ
คริสต์" มาจากคำในภาษาอังกฤษยุคกลาง
Christemasse ซึ่งมาจากคำว่า
Cristes mæsse ใน
ภาษาอังกฤษโบราณอีกทอดหนึ่ง คำนี้พบครั้งแรกในเอกสารที่บันทึกใน ค.ศ. 1038
[2] คำว่า
Crīst (แสดงความเป็นเจ้าของ
Crīstes) มาจาก
ภาษากรีก Christos ซึ่งเป็นคำแปลของ
Māšîaḥ (
เมสสิยาห์) ใน
ภาษาฮีบรู และ "mæsse" มาจาก
ภาษาละติน missa คือ การเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท รูปแบบ "Christenmas" ยังพบใช้ในอดีตเช่นกัน แต่ปัจจุบันถูกมองว่าโบราณและเฉพาะถิ่น
[15] คำดังกล่าวมาจากภาษาอังกฤษยุคกลางว่า
Cristenmasse อันมีความหมายตามอักษรว่า "มิสซาคริสเตียน"
[16] "
Xmas" เป็นการย่อคำว่า คริสต์มาส ส่วนใหญ่พบในสื่อตีพิมพ์ มาจากอักษรตัวแรก
Χ ในคำว่า
Khrīstos (Χριστός)
ภาษากรีก ซึ่งหมายถึง "คริสต์" แม้รูปแบบการเขียนหลายแห่งไม่สนับสนุนการใช้
[17] การใช้นี้มีแบบอย่างในภาษาอังกฤษยุคกลาง
Χρ̄es masse (โดยที่ "Χρ̄" เป็นการย่อ Χριστός)
[16]
[แก้] ชื่ออื่น
นอกเหนือไปจาก "คริสต์มาส" แล้ว วันดังกล่าวยังรู้จักกันในชื่ออื่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พวก
แองโกล-แซ็กซอนเรียกงานสมโภชกลางฤดูหนาว (midwinter)
[18][19] หรือที่พบน้อยกว่า
Nātiuiteð จากภาษาละติน
nātīvitās[18][20] "Nativity" หมายถึง "การเกิด" มาจากภาษาละติน
nātīvitās[21] ในภาษาอังกฤษโบราณ
Gēola ("
ตรุษฝรั่ง", Yule) หมายถึง ช่วงเวลาซึ่งสัมพันธ์กับเดือนมกราคมและธันวาคม
[22] ภาษานอร์สโบราณที่มาจากกำเนิดเดียวกัน
Jól ภายหลังได้ใช้เป็นชื่อของวันหยุดเพเกินสแกนดิเนเวีย ซึ่งผนวกรวมกับคริสต์มาสราว ค.ศ. 1000
[18] "Noel" (หรือ "Nowell") เข้าสู่ภาษาอังกฤษในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 และมาจาก
ภาษาฝรั่งเศสโบราณ noël หรือ naël คำนี้มาจากภาษาละติน nātālis (diēs) หมายถึง "(วัน) แห่งการเกิด"
[23]
[แก้] การเฉลิมฉลอง
มี 39 ประเทศที่วันคริสต์มาสมิใช่วันหยุดราชการ (สีน้ำตาล) ส่วนประเทศไทย คริสต์มาสมิใช่วันหยุดราชการ แต่มีการเฉลิมฉลอง (observance)
วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชน ในบางประเทศที่มิใช่คริสต์ ประเทศเหล่านี้รับคริสต์มาสเข้ามาระหว่างถูกปกครองเป็นอาณานิคม (เช่น
ฮ่องกง) ส่วนในประเทศอื่น ประชากรค่อย ๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของชนกลุ่มน้อยคริสต์ศาสนิกชนหรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศ ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งคริสต์มาสเป็นที่นิยมแม้มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์น้อย ได้รับเอาคริสต์มาสส่วนที่เป็นฆราวาสหลายอย่าง เช่น การให้ของขวัญ การประดับตกแต่ง และต้นคริสต์มาส ประเทศที่คริสต์มาสไม่ใช่วันหยุดราชการ เช่น
สาธารณรัฐประชาชนจีน (ยกเว้นฮ่องกงและ
มาเก๊า) ญี่ปุ่น
ซาอุดิอาระเบีย อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกี และ
เกาหลีเหนือ การเฉลิมฉลองคริสต์มาสรอบโลกอาจมีรูปแบบแตกต่างกันชัดเจนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติ
ในกลุ่มประเทศที่มีประเพณีแบบคริสต์มั่นคง การเฉลิมฉลองคริสต์มาสอันหลากหลายได้รับการปรับปรุงกระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละถิ่นและภูมิภาค สำหรับคริสต์ศาสนิกชน การเข้าร่วมศาสนพิธีถือเป็นส่วนสำคัญในการยอมรับเทศกาลดังกล่าว คริสต์มาส ตลอดจนเทศกาล
อีสเตอร์ เป็นช่วงที่มีคนเข้าโบสถ์มากที่สุดในแต่ละปี ในประเทศ
คาทอลิก ประชากรจัดการเดินขบวนทางศาสนาหรือขบวนแห่ก่อนคริสต์มาส ในประเทศอื่น มีการจัดการเดินขบวนฆราวาสหรือขบวนแห่ซึ่งนำเสนอ
ซานตาคลอสและบุคคลสัญลักษณ์ของเทศกาลอื่น ๆ ที่มักจัดขึ้นบ่อยครั้ง การรวมญาติและการแลกของขวัญได้กลายมาเป็นลักษณะเด่นของเทศกาลอย่างกว้างขวาง ประเทศส่วนใหญ่มีประเพณีการให้ของขวัญ ส่วนวันอื่นที่มีการแลกของขวัญ ได้แก่ วันนักบุญนิโคลัส ที่ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม และการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ที่ตรงกับวันที่ 6 มกราคม
[แก้] วันที่จัดเทศกาล
นักเขียนคริสต์ศาสนิกชนยอมรับว่าคริสต์มาสเป็นวันประสูติของพระเยซูที่ถูกต้องเป็นเวลาหลายศตวรรษ นักบุญจอห์น คริสซอสตอมเทศนาใน
แอนติออกเมื่อประมาณ ค.ศ. 386 ซึ่งสถาปนาวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียนเพราะการตั้งครรภ์พระเยซู (ลูกา 1:26) ได้รับการประกาศระหว่างเดือนที่หกของการตั้งครรภ์ของเอลิซาเบธกับ
จอห์นผู้ให้ศีลจุ่ม (ลูกา 1:10-13) ดังที่บันทึกไว้จากพันธกิจซึ่งซาคาริยาส์กระทำใน
วันลบมลทินบาป (Day of Atonement) ระหว่างเดือนที่เจ็ดของ
ปฏิทินฮีบรู เอธานิมหรือตีซรี (เลวีนิติ 16:29, 1 พงษ์กษัตริย์ 8:2) ซึ่งตกอยู่ในเดือนกันยายนถึงตุลาคม
[2]
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิชาการเริ่มเสนอคำอธิบายอื่นแทน
ไอแซก นิวตันแย้งว่า คริสต์มาสถูกเลือกให้ตรงกับเหมายัน
[11] ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า บรูมา และเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม
[24] ใน ค.ศ. 1743
คริสเตียนชาวเยอรมัน พอล แอร์นสท์ จาบลอนสกี ให้เหตุผลว่า คริสต์มาสจัดตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมเพื่อให้ตรงกับวันหยุดทางสุริยคติของโรมัน ดีเอส นาตาลิส โซลิส อินวิกติ และดังนั้นจึงเป็นการทำให้เป็นเพเกินซึ่งลดคุณค่าศาสนจักรที่แท้จริง
[12] ใน ค.ศ. 1889 หลุยส์ ดือแชนเสนอว่าวันที่คริสต์มาสนั้นคำนวณมาจากเก้าเดือนหลัง
การประกาศของเทพ วันที่แต่เดิมซึ่งเป็นการตั้งครรภ์พระเยซู ซึ่งวันนั้นตั้งอยู่บนความเชื่อแต่โบราณว่าพระองค์ทรงมาตั้งครรภ์และถูกตรึงบนไม้กางเขนในวันเดียวกัน คือ วันที่ 15 เดือนนิสาน
[25][10]
อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ไม่ว่าวันประสูติของพระเยซูจะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมหรือไม่นั้น ไม่ถูกมองว่าเป็นปัญหาสำคัญในนิกายคริสต์กระแสหลัก
[26][27][28] แต่การเน้นการเฉลิมฉลองการมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในโลกของพระเจ้าเพื่อไถ่บาปแก่มนุษยชาติถูกมองว่าเป็นความหมายหลักของคริสต์มาส
[26][27][28]
[แก้] การใช้ปฏิทินจูเลียน
ศาสนจักรแห่งชาติ
นิกายออร์โธด็อกซ์ตะวันออก รวมทั้งรัสเซีย
จอร์เจีย ยูเครน มาเซโดเนีย
มอนเตเนโกร เซอร์เบีย และ
เขตอัครบิดรกรีกแห่ง
เยรูซาเล็มกำหนดวันที่งานสมโภชโดยใช้ปฏิทินจูเลียนที่เก่ากว่า วันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียน ซึ่งปัจจุบันตรงกับวันที่ 7 มกราคมในปฏิทินเกรโกเรียนที่นานาชาติใช้กัน อย่างไรก็ดี คริสต์ศาสนิกชนออร์โธด็อกซ์อื่น เช่น ศาสนจักร
กรีซ โรมาเนีย แอนติโอก
อเล็กซานเดรีย อัลเบเนีย ฟินแลนด์ และศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ในอเมริกา เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ เริ่มใช้ปฏิทินจูเลียนที่ได้รับการปรับปรุงในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับปฏิทินเกรโกเรียนพอดี
[29]
ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์เหล่านี้เฉลิมฉลองคริสต์มาสวันเดียวกับศาสนาคริสต์ตะวันตก ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ทางตะวันออกยังใช้ปฏิทินของตนเอง ซึ่งส่วนมากแล้วคล้ายกับปฏิทินจูเลียน ศาสนจักรอะโพสโตลิคอาร์เมเนียเฉลิมฉลองการประสูติร่วมกับงานสมโภชการเสด็จมาของพระคริสต์ในวันที่ 6 มกราคม โดยปกติศาสนจักรอาร์เมเนียใช้ปฏิทินเกรโกเรียน แต่บางแห่งใช้ปฏิทินจูเลียน ดังนั้นจึงเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 19 มกราคม และคริสต์มาสอีฟวันที่ 18 มกราคม ตามปฏิทินเกรโกเรียน
[29]
[แก้] การฉลองการประสูติของพระเยซู
คริสต์ศาสนิกชนเฉลอมฉลองการประสูติของพระเยซูแก่
มารีย์สาวพรหมจรรย์ว่าเป็นการบรรลุคำทำนายเมสสิยาห์ของ
พันธสัญญาเดิม[30] คัมภีร์ไบเบิลบรรจุสองเรื่องราวซึ่งอธิบายเหตุการณ์รอบการประสูติของพระเยซู ขึ้นอยู่กับมุมมอง บันทึกทั้งสองนี้แตกต่างกันหรือเล่าเรื่องเดียวกันแต่เป็นสองเวอร์ชัน
[31][32][33][34] บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลนี้พบใน
พระวรสารนักบุญมัทธิว คือ มัทธิว 1:18 และ
พระวรสารนักบุญลูกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกา 1:26 และ 2:40 ตามบันทึกเหล่านี้ พระเยซูประสูติแก่มารีย์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากสามีของเธอ
โยเซฟ ในนคร
เบธเลเฮม
ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยม การประสูติมีขึ้นในคอกม้า ล้อมรอบด้วยสัตว์ในไร่นา แม้ทั้งคอกม้าหรือสัตว์ต่าง ๆ จะมิได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะจงในบันทึกไบเบิล อย่างไรก็ดี มีการกล่าวถึงรางหญ้าในลูกา 2:7 ซึ่งเขียนไว้ว่า มารีย์ "เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม" การแทนการประสูติของพระเยซูทางประติมานวิทยาช่วงแรกได้วางสัตว์และรางหญ้าไว้ในถ้ำ (ซึ่งตามความเชื่อตั้งอยู่ใต้คริสตจักรการประสูติในเบธเลเฮม) มากกว่าคอกม้า
คนเลี้ยงแกะในทุ่งรอบเบธเลเฮมได้รับการบอกเล่าถึงการประสูติโดย
ทูตสวรรค์ และเป็นกลุ่มแรกที่มาพบพระกุมาร
[35] ความเชื่อที่ได้รับความนิยมยังมีว่า กษัตริย์สามพระองค์หรือนักปราชญ์สามคน (ชื่อเมลชอร์ แคสปาร์และบัลธาซาร์) เยี่ยมทารกเยซูในรางหญ้า แม้ความเชื่อนี้จะไม่ตรงตามคัมภีร์ไบเบิลอย่างเคร่งครัดก็ตาม พระธรรมมัทธิวกลับเล่าว่ามีผู้วิเศษหรือโหราจารย์มาพบไม่ระบุจำนวน ขณะใดขณะหนึ่งหลังพระเยซูประสูติแล้วขณะที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในเรือน (มัทธิว 2:11) ผู้ซึ่งถวายทรัพย์ทองคำ กำยานและมดยอบแก่พระกุมารเยซู แขกผู้มาเยือนนั้นได้รับทราบจากดาวประหลาด ซึ่งมักรู้จักกันในชื่อ ดาวแห่งเบธเลเฮม เชื่อกันว่าดาวนี้ประกาศการประสูติของกษัตริย์แห่งยิว พิธีฉลองการมาเยือนนี้ งานสมโภชการเสด็จมาของพระเยซู เฉลิมฉลองในวันที่ 6 มกราคม และเป็นวันสิ้นสุดเทศกาลคริสต์มาสในบางคริสตจักร
คริสต์ศาสนิกชนเฉลิมฉลองคริสต์มาสในหลายวิธี นอกเหนือไปจากวันนี้จะเป็นหนึ่งในวันทีสำคัญที่สุดและนิยมที่สุดในการเข้าร่วมองค์การโบสถ์ (church service) แล้วยังมีการอุทิศตนและประเพณีอื่นที่ได้รับความนิยมอีก ในศาสนาคริสต์บางนิกาย เด็กแสดงเหตุการณ์การประสูติใหม่กับสัตว์เพื่อความสมจริงหรือร้องเพลงสวดซึ่งอ้างถึงเหตุการณ์นั้น คริสต์ศาสนิกชนบางคนยังจัดแสดงการสร้างเหตุการณ์ประสูติใหม่ขนาดเล็ก ซึ่งเรียกว่า ฉากการประสูติ (crèche) ในบ้านของพวกเขาด้วย โดยใช้รูปประดับเป็นตัวละครหลักในเหตุการณ์ ก่อนวันคริสต์มาส ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ตะวันออกจัดเทศกาลถือศีลอดพระคริสตสมภพ (Nativity Fast) 40 วันล่วงหน้าการประสูติของพระเยซู ขณะที่ศาสนาคริสต์ตะวันตกส่วนใหญ่เฉลิมฉลองเทศกาลเตรียมการรับเสด็จสี่สัปดาห์ การเตรียมการสุดท้ายสำหรับวันคริสต์มาสกระทำในวันคริสต์มาสอีฟ
ประเพณีเกี่ยวกับศิลปะอันยาวนานได้พัฒนาขึ้นเป็นการผลิตการวาดภาพเขียนสีการประสูติในศิลปะ ฉากการประสูตินั้นแต่เดิมจัดในคอกม้าพร้อมปศุสัตว์ และมีมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารเยซูในรางหญ้า นักปราชญ์สามคน คนเลี้ยงแกะกับแกะของพวกเขา ทูตสวรรค์และดาวแห่งเบธเลเฮม
[36]
[แก้] การประดับตกแต่ง
-
ประเพณีการประดับตกแต่งเป็นพิเศษในวันคริสต์มาสนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีบันทึกว่าในกรุง
ลอนดอน การประดับตกแต่งเป็นประเพณีในวันคริสต์มาสสำหรับทุกบ้าน และทุกโบสถ์ประจำ
เขตแพริชต้อง "ตกแต่งด้วย
โอ๊กโฮล์ม ไอวี เบย์ลอเรลและอะไรก็ตามที่ฤดูกาลนี้ในช่วงปีให้เพื่อเป็นสีเขียว"
[37] ใบไอวีรูปหัวใจกล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์การเสด็จมายังโลกมนุษย์ของพระเยซู ขณะที่ฮอลลีถูกมองว่าเป็นการคุ้มครองจากพวกเพเกินและแม่มด หนามของมันและผลเบอร์รีสีแดงถือเป็นสัญลักษณ์มงกุฎหนามซึ่งพระเยซูทรงสวมที่การตรึงกางเขตและพระโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่ง
[38][39]
ฉากการสมภพเป็นที่ทราบกันจากกรุง
โรมสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซึ่งนักบุญ
ฟรานซิสแห่งอัสซีซีทำให้เป็นที่นิยมนับแต่ ค.ศ. 1223 และได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว
[40] ของประดับตกแต่งหลายประเภทได้พัฒนาขึ้นทั่วโลกคริสต์ศาสนิกชน ขึ้นอยู่กับประเพณีท้องถิ่นและทรัพยากรที่หาได้ ของประดับที่ผลิตขึ้นเชิงพาณิชย์ครั้งแรกปรากฏใน
เยอรมนีในคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโซ่กระดาษที่เด็กทำ
[41] ในประเทศซึ่งการแทนฉากคริสตสมภพเป็นที่นิยมมาก ผู้คนต่างได้รับการสนับสนุนให้ประกวดและสร้างฉากที่เหมือนดั้งเดิมหรือเหมือนจริงที่สุด ในบางครอบครัว แม่พิมพ์ที่ใช้ทำฉากนั้นถูกมองว่าเป็นมรดกมีค่าประจำตระกูล
สีของคริสต์มาสแต่โบราณ คือ เขียวและแดง
[42] ส่วนสีขาว เงินและทองก็ได้รับความนิยมเช่นกัน สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งทรงหลั่งในการถูกตรึงบนกางเขน สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไม้ไม่ผลัดใบ ซึ่งไม่เสียใบในฤดูหนาว
[39][42]
ต้นคริสต์มาสแบบเดนมาร์ก ประดับด้วยของตกแต่งคริสต์มาสทำเอง
ต้นคริสต์มาสถูกมองว่าเป็นการทำให้ประเพณีและพิธีกรรมเพเกินรอบเหมายันเป็นคริสเตียน ซึ่งรวมถึงการใช้กิ่งไม้ไม่ผลัดใบและการดัดแปลงการบูชาต้นไม้ของเพเกิน
[43] ตามข้อมูลของนักชีวประวัติสมัยคริสต์ศตวรรษที่แปด เอดดี สเตฟานัส นักบุญโบนิฟาส (ค.ศ. 634-709) ผู้เป็นมิชชันนารีในเยอรมนี หยิบขวานไปยังต้นโอ๊กที่อุทิศให้
ธอร์และชี้ไปยังต้นเฟอร์ ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นวัตถุควรแก่การเคารพที่เหมาะสมกว่า เพราะมันชี้ไปยังสวรรค์และมีรูปทรงสามเหลี่ยม ซึ่งเขาว่าเป็นสัญลักษณ์ของ
ตรีเอกานุภาพ[44] วลีภาษาอังกฤษ "ต้นคริสต์มาส" ได้รับบันทึกครั้งแรกใน ค.ศ. 1835
[45] และแสดงให้เห็นการรับมาจาก
ภาษาเยอรมัน ประเพณีต้นคริสต์มาสสมัยใหม่เชื่อกันว่าเริ่มต้นในเยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 18
[43] แม้หลายคนแย้งว่า
มาร์ติน ลูเธอร์เริ่มประเพณีดังกล่าวในคริสต์ศตวรรษที่ 16
[46][47]
ประเพณีต้นคริสต์มาสนำเข้าสู่อังกฤษจากเยอรมนีครั้งแรกผ่าน
พระราชินีชาร์ล็อตต์ พระมเหสีใน
พระเจ้าจอร์จที่ 3 จากนั้น
เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงนำเข้ามาอีกครั้งในรัชสมัย
พระราชินีนาถเอลิซาเบธ ซึ่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จมากกว่า จนถึง ค.ศ. 1841 ต้นคริสต์มาสได้แพร่หลายในอังกฤษมากยิ่งขึ้น
[48] จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1870 ผู้คนในสหรัฐอเมริกาได้รับเอาประเพณีการตกแต่งต้นคริสต์มาส
[49] ต้นคริสต์มาสอาจตกแต่งด้วยแสงไฟและเครื่องตกแต่ง
นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19
พอยเซตเทีย พืชท้องถิ่นจาก
เม็กซิโก ได้มาเกี่ยวข้องกับคริสต์มาส พืชประจำเทศกาลที่ได้รับความนิยมอื่นอีกมีฮอลลี มิสเซลโท พืชจำพวกว่าน (amaryllis) สีแดง และกระบองเพชรคริสต์มาส ร่วมกับต้นคริสต์มาส ภายในบ้านอาจประดับตกแต่งด้วยพืชเหล่านี้ เช่นเดียวกับพวงมาลัยและใบพืชไม่ผลัดใบ การแสดงหมู่บ้านคริสต์มาสได้กลายมาเป็นประเพณีในหลายบ้านช่วงเทศกาลนี้ ของนอกบ้านอาจประดับตกแต่งด้วยแสงไฟ และบางครั้งด้วยเลื่อนหิมะประดับไฟ มนุษย์หิมะและสัญลักษณ์คริสต์มาสอื่น ๆ
ของประดับตามประเพณีอย่างอื่นมีระฆัง เทียน อมยิ้มไม้เท้า
ถุงเท้ายาว พวงหรีดและทูตสวรรค์ ทั้งการแสดงพวงหรีดและเทียนในหน้าต่างแต่ละบานนั้นเก่าแก่กว่าการจัดแสดงคริสต์มาสเสียอีก การจัดพวกใบที่มีศูนย์กลาง โดยมักมาจากพืชไม่ผลัดใบ ขึ้นเป็นพวงหรีดคริสต์มาสและได้รับการออกแบบเพื่อเตรียมคริสต์ศาสนิกชนสำหรับเทศกาลเตรียมการรับเสด็จ เทียนในหน้าต่างแต่ละบานตั้งใจให้แสดงข้อเท็จจริงที่ว่าคริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นแสงทั้งหมดของโลก
[50]
แสงไฟและธงคริสต์มาสอาจแขวนไว้ตามท้องถนน มีดนตรีบรรเลงจากลำโพง และต้นคริสต์มาสวางไว้ตามสถานที่สำคัญ
[51] ในหลายพื้นที่ของโลก ใจกลางเมืองและพื้นที่เดินซื้อของผู้บริโภคมักสนับสนุนและจัดแสดงของประดับตกแต่ง ม้วนห่อกระดาษสีสดใสพร้อมลวดลายคริตส์มาสทางฆราวาสหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาผลิตขึ้นใช้ห่อของขวัญ ในบางประเทศ การประดับตกแต่งคริสต์มาสตามประเพณีจะถูกปลดลงในคืนที่สิบสอง ตอนเย็นของวันที่ 5 มกราคม
[แก้] ดนตรีและเพลงสวด
-
เพลงสวดคริสต์มาสเพลงแรกปรากฏขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในกรุงโรม เริ่มเผยแพร่ไปยังอารามยุโรปเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10 ต่อมา จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในฝรั่งเศส เยอรมนี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิตาลี ภายใต้อิทธิพลของนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี มีการพัฒนาประเพณีเพลงคริสต์มาสในภาษาถิ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมั่นคง เพลงสวดคริสต์มาสในภาษาอังกฤษปรากฏครั้งแรกในผลงานของจอห์น เอาด์เลย์ (John Awdlay) เพลงเก่าแก่ที่ยังร้องกันอยู่เป็นประจำ คือ ขอเชิญท่านผู้วางใจ (
ละติน:
Adeste Fidelis) ปรากฏในรูปปัจจุบันตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ส่วนเนื้อร้องประพันธ์ขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13
ส่วนเพลงเทศกาลคริสต์มาสทางฆราวาสทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 "เดกเดอะฮอลส์" (
Deck The Halls) สืบประวัติไปได้ถึง ค.ศ. 1784 และเพลง "
จิงเกิลเบลส์" ของอเมริกัน จดลิขสิทธิ์ใน ค.ศ. 1857
[แก้] อาหาร
อาหารครอบครัวคริสต์มาสมื้อพิเศษตามประเพณีเป็นส่วนสำคัญในการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส และอาหารซึ่งรับประทานนั้นแตกต่างกันไปตามประเทศ บางภูมิภาค เช่น ซิซิลี มีอาหารมื้อพิเศษในวันคริสต์มาสอีฟ โดยรับประทานปลา 12 ชนิด ในอังกฤษและประเทศซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเพณีอังกฤษ มื้อคริสต์มาสมาตรฐานมีไก่งวงหรือห่าน เนื้อสัตว์ เกรวี มันฝรั่ง ผัก และบางครั้งมีขนมปังและไซเดอร์ นอกจากนี้ยังมีการเตรียมของหวานพิเศษเช่นกัน เช่น พุดดิงคริสต์มาส พายไส้เนื้อสัตว์และเค้กผลไม้
[52][53]
[แก้] การให้ของขวัญ
การแลกของขวัญเป็นหนึ่งในแง่มุมหลักของการเฉลิมฉลองคริสต์มาสสมัยใหม่ ซึ่งทำให้เทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงทำกำไรสูงสุดของปีสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจทั่วโลก การให้ของขวัญเป็นปกติในการเฉลิมฉลองแซเทิร์นาเลีย (Saturnalia) เทศกาลโบราณของโรมันซึ่งจัดขึ้นในปลายเดือนธันวาคมและอาจมีอิทธิพลต่อประเพณีคริสต์มาส
[54] การให้ของขวัญคริสต์มาสถูกห้ามโดนคริสตจักรคาทอลิกใน
ยุคกลางเพราะสงสัยประเพณีดังกล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากเพเกิน
[54] ภายหลังคริสตจักรใช้เหตุผลตัดสินบนพื้นฐานว่าเป็นการเชื่อมโยงนักบุญนิโคลัสกับคริสต์มาส และของขวัญที่เป็นทองคำ กำยานและมดยอบก็ได้มอบถวายแด่พระกุมารเยซูโดยนักปราชญ์ทั้งสาม
[แก้] บุคคลให้ของขวัญตามตำนาน
-
มีหลายคนทั้งที่ถือกำเนิดขึ้นตามแบบคริสต์และตามตำนานเกี่ยวข้องกับคริสต์มาสและการให้ของขวัญตามเทศกาล ในบรรดาบุคคลเหล่านี้มี ซานตาคลอส, ปิแอร์ นอแอล (Père Noël) และไวนัคท์สมันน์ (Weihnachtsmann), นักบุญนิโคลัสหรือซินเทอร์กลาส (Sinterklaas), คริสต์คินด์ (Christkind), คริส ครินเกิล (Kris Kringle), จูลูปูกี (Joulupukki), บับโบ นาตาเล (Babbo Natale), นักบุญบาซิล (Saint Basil) และฟาเธอร์ฟรอสต์
บุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดและรู้จักกันแพร่หลายที่สุดในบรรดาชื่อเหล่านี้ในการเฉลิมฉลองสมัยใหม่ทั่วโลกคือ ซานตาคลอส ผู้ให้ของขวัญตามตำนาน แต่งกายชุดแดง โดยที่มานั้นมีเรื่องเล่าหลากหลาย ชื่อซานตาคลอสสามารถสืบย้อนไปยังคำ
ภาษาดัตช์ว่า ซินเทอร์กลาส ซึ่งมีความหมายอย่างง่ายว่า นักบุญนิโคลัส นิโคลัสเป็นบิชอปแห่งไมรา ใน
ตุรกีปัจจุบัน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในบรรดาคุณลักษณะอย่างนักบุญอื่น ๆ เขาถูกจดจำสำหรับการดูแลเด็ก ความเอื้อเฟื้อและการให้ของขวัญ งานสมโภชเขาในวันที่ 6 ธันวาคมจึงมีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศด้วยการให้ของขวัญ
[55]
นักบุญนิโคลัสตามประเพณีปรากฏในเครื่องแต่งกายของบิชอป ร่วมกับผู้ช่วยเหลือ สอบถามถึงพฤติกรรมของเด็กในช่วงปีที่ผ่านมาก่อนตัดสินใจว่าพวกเขาสมควรได้รับของขวัญหรือไม่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 นักบุญนิโคลัสเป็นที่รู้จักกันในดีในเนเธอร์แลนด์ และการปฏิบัติให้ของขวัญในชื่อของเขาได้แพร่ขยายไปยังส่วนอื่นของยุโรปกลางและใต้ ในห้วง
การปฏิรูปศาสนาในยุโรปคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ผู้นับถือโปรแตสแตนท์หลายคนเปลี่ยนผู้นำของขวัญไปเป็นคริสต์ไชล์ (Christ Child) หรือคริสต์คินล์ (Christkindl) แผลงในภาษาอังกฤษเป็นคริส ครินเกิล และวันที่ให้ของขวัญเปลี่ยนจากวันที่ 6 ธันวาคมมาเป็นวันคริสต์มาสอีฟ
[55]
ภาพลักษณ์ซานตาคลอสที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ มีเคราขาว สวมชุดแดง และให้ของขวัญแก่เด็กดี
อย่างไรก็ดี ภาพลักษณ์สมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมของซานตาคลอสนี้ถูกสร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
นิวยอร์ก การเปลี่ยนรูปดังกล่าวประสบความสำเร็จด้วยความช่วยเหลือของผู้มีส่วนสำคัญ รวมทั้งนักวาดการ์ตูน โธมัส แนสต์ (ค.ศ. 1840-1902) หลัง
สงครามปฏิวัติอเมริกัน ผู้อยู่อาศัยบางคนใน
นครนิวยอร์กมองหาสัญลักษณ์ของนครในอดีตที่มิใช่อังกฤษ นิวยอร์กแต่เดิมก่อตั้งขึ้นเป็นเมืองอาณานิคมดัตช์ชื่อ นิวอัมสเตอร์ดัม และประเพณีซินเทอร์กลาสของดัตช์ได้ถูกนำเสนอใหม่เป็นนักบุญนิโคลัส
[56]
ใน ค.ศ. 1809 สมาคมประวัติศาสตร์นิวยอร์กชุมนุมกันและให้ชื่อแซนค์เตคลอส (Sancte Claus) เป็นนักบุญผู้ปกปักษ์รักษานิวอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นชื่อดัตช์ของนครนิวยอร์ก อันมีผลย้อนหลัง
[57] ในภาพลักษณ์อย่างอเมริกันครั้งแรกของเขาใน ค.ศ. 1810 ซานตาคลอสถูกวาดในชุดคลุมบิชอป อย่างไรก็ดี เมื่อศิลปินคนใหม่เข้ามา ซานตาคลอสได้พัฒนามาเป็นเครื่องแต่งกายทางฆราวาสมากขึ้น
[58] แนสต์วาดภาพใหม่ของซานตาคลอสทุกปี เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1863 จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1880 ซานตาของแนสต์ได้พัฒนาไปเป็นสวมชุดคลุม แต่งกายด้วยชุดเฟอร์ อันเป็นรูปที่คุ้นเคยกันในปัจจุบัน ซึ่งบางทีอาจนำมาจากบุคคลฟาเธอร์คริสต์มาสของอังกฤษ รูปดังกล่าวได้รับการสร้างมาตรฐานโดยนักโฆษณาในคริสต์ทศวรรษ 1920
[59]
ฟาเธอร์คริสต์มาส ชายมีเคราผู้ร่าเริงที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีผู้เป็นแบบอย่างจิตวิญญาณแห่งของความชื่นชมยินดีในวันคริสต์มาส เกิดขึ้นก่อนตัวละครซานตาคลอส เขาได้รับบันทึกครั้งแรกในอังกฤษต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำสนุกและความมึนเมาช่วงเทศกาลมากกว่าการนำของขวัญมาให้
[45] ใน
สมัยวิกตอเรีย ภาพลักษณ์ของเขาถูกนำเสนอใหม่ให้ตรงกับของซานตา ปิแอร์ นอแอลของฝรั่งเศสได้วิวัฒนาในแนวคล้ายกัน จนสุดท้ายได้รับเอาภาพลักษณ์แบบซานตามา ในอิตาลี บับโบ นาตาเลประพฤติเฉกเช่นซานตาคลอส ขณะที่ลา เบฟานา (La Befana) เป็นผู้นำของขวัญและมาถึงมาในวันก่อนการเสด็จมาของพระเยซู กล่าวกันว่าลา เบฟานาเดินทางมาเพื่อนำของขวัญไปให้พระกุมารเยซู แต่เกิดหลงระหว่างทาง ปัจจุบัน เธอนำของขวัญมาให้แก่เด็กทุกคน ในบางวัฒนธรรม ซานตาคลอสเกี่ยวข้องกับ
อัศวินรูเพิร์ต (Knecht Ruprecht) หรือ
ปีเตอร์ดำ (Black Peter) ในเวอร์ชันอื่น พวกเอลฟ์ทำของเล่น ภรรยาของเขาเรียกกันว่า
คุณนายคลอส
มีฝ่ายที่คัดค้านการบรรยายการวิวัฒนาซานตาคลอสเป็นซานตายุคใหม่ของอเมริกัน ซึ่งก็มีการให้เหตุผลว่า สมาคมนักบุญนิโคลัสนั้นยังไม่ถูกจัดตั้งขึ้นกระทั่ง ค.ศ. 1835 นับเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษหลังสงครามประกาศอิสรภาพสิ้นสุดลง
[60] ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษา "หนังสือเด็ก วารสารและวารสารวิชาการ" ของนิวอัมสเตอร์ดัม โดยชาลส์ โจนส์ ได้เปิดเผยว่าไม่มีการอ้างถึงนักบุญนิโคลัสหรือซินเทอร์กลาสเลย
[61] อย่างไรก็ดี มิใช่นักวิชาการทั้งหมดจะเห็นด้วยกับการค้นพบของโจนส์ ซึ่งเขากล่าวซ้ำอีกครั้งในการศึกษาใน ค.ศ. 1978
[62] ฮาวาร์ด จี. แฮเกมัน แห่งโรงเรียนศาสนาเทววิทยานิวบรันสวิก ยังสนับสนุนประเพณีการเฉลิมฉลองซินเทอร์กลาสในนิวยอร์กยังมีชีวิตและยังดีอยู่นับแต่การตั้งถิ่นฐานแรกเริ่มในฮัดสันวัลเลย์เป็นต้นมา
[63]
ประเพณีปัจจุบันในหลายประเทศ
ละตินอเมริกา (เช่น
เวเนซุเอลาและ
โคลัมเบีย) ถือว่า ซานตาเป็นผู้สร้างของเล่น จากนั้นเขาถวายแด่พระกุมารเยซู ซึ่งเป็นผู้ส่งของเล่นมายังบ้านของเด็ก ๆ ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการผสมผสานความเชื่อทางศาสนาแต่เดิมกับ
ประติมานวิทยาของซานตาคลอสซึ่งรับมาจากสหรัฐอเมริกา
ในไทรอลใต้ (อิตาลี)
ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนีตอนใต้
ฮังการี ลิกเตนสไตน์ สโลวาเกียและ
สวิตเซอร์แลนด์ คริสต์คินด์เป็นผู้นำของขวัญ เด็กชาวกรีกได้รับของขวัญจากนักบุญบาซิลในวันสิ้นปี วันก่อนหน้างานสมโภชพิธีกรรมของนักบุญนั้น
[64] นักบุญนิโคเลาส์ของเยอรมันไม่เหมือนกับไวนัคท์สมันน์ (ซึ่งเป็นซานตาคลอส/ฟาเธอร์คริสต์มาสเวอร์ชันเยอรมัน) นักบุญนิโคเลาส์สวมเครื่องแต่งกายบิชอปและยังนำของขวัญเล็ก ๆ มาให้ (มักเป็นลูกกวาด ถั่วและผลไม้) ในวันที่ 6 ธันวาคม และมาด้วยกันกับอัศวินรูเพิร์ตและผู้ให้ของขวัญคนอื่น บางคนปฏิเสธการปฏิบัตินี้ โดยมองว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิด
[65]
[แก้] ประวัติ
หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคมเป็นงานสมโภชการประสูติของพระเยซูตามพิธีกรรมแบบคริสต์นั้นปรากฏใน "ปฏิทินแห่ง ค.ศ. 354" (Chronography of 354 AD) ซึ่งเป็นหลักฐานในกรุงโรม ขณะที่ศาสนาคริสต์ตะวันออก การประสูติของพระเยซูนั้นมีการเฉลิมฉลองโดยเชื่อมโยงกับการเสด็จมาของพระเยซูในวันที่ 6 มกราคมแล้ว
[66][67] การเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคม ทางตะวันออกได้รับไปภายหลัง ในแอนติออก โดยจอห์น คริสซอสตอม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4
[67] อาจเป็น ค.ศ. 388 และในอเล็กซานเดรียเฉพาะในอีกศตวรรษต่อมา
[68] แม้ในทางตะวันตก การเฉลิมฉลองการสมภพของพระเยซูดูเหมือนจะมีต่อไปกระทั่งหลัง ค.ศ. 380
[69]
ประเพณีที่ได้รับความนิยมจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสพัฒนาขึ้นโดยแยกจากพิธีฉลองการประสูติของพระเยซู โดยบางส่วนมีกำเนิดในเทศกาลก่อนคริสเตียนรอบเทศกาลฤดูหนาวโดยประชากรเพเกินผู้ที่ภายหลังเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ส่วนเหล่านี้ รวมทั้งเค้กขอนไม้จากตรุษฝรั่ง และการให้ของขวัญจากแซเทิร์นาเลีย
[54] ได้ผสมเข้ากับคริสต์มาสในห้วงหลายศตวรรษ บรรยากาศซึ่งมีอยู่ทั่วไปของคริสต์มาสยังได้วิวัฒนาอย่างต่อเนื่องนับแต่การเริ่มต้น โดยมีหลากหลายตั้งแต่สภาพเสียงดัง มึนเมาและคล้ายงานรื่นเริงในยุคกลาง
[70] มาเป็นธีมที่สงบลง โดยเน้นครอบครัวและยึดเด็กเป็นศูนย์กลางเริ่มตั้งแต่การปฏิรูปในคริสต์ศตวรรษที่ 19
[71][72] ยิ่งไปกว่านั้น การเฉลิมฉลองคริสต์มาสยังเคยถูกห้ามมากกว่าหนึ่งครั้งในนิกายโปรแตสแตนท์เพราะความกังวลว่าประเพณีนั้นเป็นเพเกินหรือแย้งต่อคัมภีร์ไบเบิลมากเกินไป
[